การรักษาโรคหืด : ยาใหม่ในการรักษา
นายแพทย์สุชาติ จิระจักรวัฒนา
โรคหืด มีผู้กล่าวถึงครั้งแรกเมื่อ 3,500 ปี ตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ การรักษาของเขาในตอนนั้นคือ การให้คนไข้ทานซุปไก่
ในสมัยศตวรรษที่ 17 และ 18 แพทย์เริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับโรคหืดว่าเกิดจากการหดตัวของหลอดลม ในด้านการรักษาพบว่ามีตำรับยาขนานต่างๆ ที่เชื่อกันว่าสามารถรักษาโรคหืดได้อยู่เป็นจำนวนมาก
จนกระทั่งหลังปี ค.ศ.1960 จึงมีการค้นพบครั้งสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการรักษาโรคหืดจนมาถึงปัจจุบัน โดยพบว่าโรคหืดเป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม และหลอดลมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้และสิ่งแวดล้อมมากกว่าปกติ ( Bronchial Hyperresponsiveness ) มีผลทำให้หลอดลมเกิดการหดเกร็ง มีการหลั่งมูกในหลอดลมจำนวนมาก และมีการบวมของผนังหลอดลม เป็นผลให้มีการตีบแคบของหลอดลม ทำให้ผู้ป่วยหอบเหนื่อย หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ไอ หายใจมีเสียงหวีด ซึ่งอาการเหล่านี้อาจหายได้เอง หรือเมื่อได้รับยาขยายหลอดลม
ในระยะต่อมา คือช่วงหลัง ค.ศ. 1997 ถึงปัจจุบัน พบว่าการอักเสบของหลอดลมที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดลมอย่างถาวรทั้งรูปร่างและการทำงาน ทำให้สมรรถภาพปอดผู้ป่วยโรคหืดต่ำกว่าปกติ และมีหลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างถาวร
จากความรู้ดังกล่าวนำไปสู่การปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาครั้งสำคัญและพัฒนายาใหม่ๆ โดยยาหลักที่ใช้รักษาโรคหืดคือการให้ยาต้านการอักเสบ เพื่อแก้ไขภาวะอักเสบเรื้อรังของหลอดลม แทนการใช้แต่เพียงยาขยายหลอดลม เพื่อบรรเทาอาการ เช่นในอดีต ซึ่งนอกจากจะไม่สามารถลดระดับความรุนแรงของโรคได้แล้ว ยังไม่สามารถป้องกันการเสื่อมสมรรถภาพของปอดอย่างถาวร อันเกิดจากภาวะของโรคหืดเรื้อรังได้ รวมทั้งยังอาจมีผลเสียตามมา ทำให้ผู้ป่วยโรคหืดเสียชีวิตมากขึ้น ในแนวทางการรักษาโรคหืดทั่วโลกจึงแนะนำให้ใช้ยาขยายหลอดลมเฉพาะในกรณีที่มีอาการเท่านั้น และไม่ควรใช้เกิน 3-4 ครั้ง/วัน และห้ามไม่ให้ใช้ยาขยายหลอดลมเป็นประจำสม่ำเสมอ
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคหืด
ยาที่ใช้ในการรักษาโรคหืดในปัจจุบันแบ่งได้ง่ายๆ เป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ ยาขยายหลอดลมหรือยาบรรเทาอาการ และยาระงับการอักเสบ
ยาขยายหลอดลม คือ ยาที่ทำให้กล้ามเนื้อหลอดลมคลายตัวและทำให้หลอดลมขยายตัว ไม่มีผลในการลดการอักเสบของหลอดลม ยาในกลุ่มนี้ คือ
ß–adrenergic agonist mast cell
กลุ่ม ออกฤทธิ์เร็วและออกฤทธิ์ระยะสั้น คือ 4–6 ชั่วโมง เช่น salbutamol, terbutaline, procaterol และ fenoterol เป็นต้น ยากลุ่มนี้เป็นที่นิยมใช้ที่สุดเพื่อบรรเทาอาการหอบเพราะออกฤทธิ์เร็วและขยายหลอดลมได้ดีที่สุด
กลุ่ม ออกฤทธิ์อยู่นานมากกว่า 12 ชั่วโมง ได้แก่ formoterol และ salmeterol
ได้มีการพัฒนายาชนิดใหม่โดยการนำเอายาขยายหลอดลมกลุ่มที่ออกฤทธิ์อยู่นานมากกว่า 12 ชั่วโมง มารวมกับยาระงับการอักเสบคอร์ติโคสเตียรอยด์ ซึ่งผลที่ได้พบว่ายาในรูปผสมดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรค ดีกว่าการใช้ยา คอร์ติโคสเตียรอยด์ อย่างเดียวในขนาดสูง และยังทำให้ลดการใช้ยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์สั้น รวมทั้งลดการเกิดภาวะจับหืดเฉียบพลันได้ดีกว่าการใช้ยาเดี่ยวๆ นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกในการใช้ยามากขึ้น ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ fluticasone/salmererol และ budesonide/formoterol
ยาระงับการอักเสบ มีฤทธิ์ในการระงับการอักเสบของหลอดลม ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่
คอร์ติโคสเตียรอยด์ เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาการอักเสบของหลอดลมโดยออกฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ แม้ว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์จะมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาโรคหืด แต่การกิน คอร์ติโคสเตียรอยด์ เป็นเวลานานก็จะมีอาการข้างเคียงที่ร้ายแรง เช่น กระดูกผุ อ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และที่สำคัญที่สุดคือ การกดการทำงานของต่อมหมวกไต การค้นพบยาพ่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ ในปี ค.ศ. 1972 นับว่าเป็นก้าวที่สำคัญในการรักษาโรคหืด เนื่องจากสามารถลดผลเสียที่จะเกิดจากการกินคอร์ติโคสเตียรอยด์ได้ ปัจจุบันมียาพ่นกลุ่ม corticosteroid ในท้องตลาด 3 ชนิด คือ beclomethasone dipropionate (BDP), budesonide และ fluticasone propionate ในปัจจุบันยาพ่นกลุ่ม คอร์ติโคสเตียรอยด์ ถือว่าเป็นยาหลักในการรักษาโรคหืด
Leukotriene modifier zafirlukast montelukast leukotriene leukotriene
ยาต้าน IgE เป็นยาที่ออกมาใหม่ในท้องตลาด เนื่องจากว่าปฏิกิริยาระหว่าง IgE กับ antigen ทำให้เกิดการหดตัวของหลอดลม และการชักนำเซลล์อักเสบมาสู่หลอดลมอันจะทำให้โรคหืดเลวลง การให้ยาต้าน IgE เพื่อจับกับ IgE ในกระแสเลือด ทำให้มี IgE ที่อิสระลดลง ซึ่งยังผลให้ปฏิกิริยาที่จะทำให้หลอดลมอักเสบลดลง ทำให้โรคหืดดีขึ้น แต่เนื่องจากยามีราคาแพงมากจึงเลือกใช้เฉพาะในรายที่ให้ยาอื่นเต็มที่แล้วยังควบคุมโรคหืดไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมองหายาใหม่ๆ โดยคิดว่ายาที่ใช้อยู่ไม่ได้ผลดีนั้น สิ่งสำคัญที่สุดจะต้องคอยถามตัวเองอยู่เสมอ คือ ได้ใช้ยาอย่างถูกต้อง คือ ถูกชนิด ถูกขนาด ถูกเวลา และถูกวิธีแล้วหรือยัง ได้ลดและเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการหอบแล้วหรือยัง รวมถึง การดูแลสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน การไม่สูบบุหรี่ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะทำให้ลดการเกิดหอบหืดลงได้ โดยส่วนใหญ่แล้วพบว่าการดูแลและจัดการกับเรื่องดังกล่าว จะสามารถแก้ไขให้อาการหอบหืดดีขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยยาใหม่ๆ ซึ่งยังมีราคาค่อนข้างแพง